เราคงจะทราบกันแล้วว่า สัญญาณไฟจราจร มีหน้าที่สำคัญในการส่งสัญญาณ ล้วนแต่เป็นสัญญาณที่สำคัญในการใช้รถใช้ถนนอย่างยิ่ง ซึ่งมักจะถูกติดเอาไว้ตามแยกต่างๆ โดยเฉพาะแยกที่มีปริมาณของการใช้รถเป็นจำนวนมาก ซึ่งเหตุผลหลักของการมี ไฟจราจร ก็คือ เพื่อควบคุมการใช้รถใช้ถนนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุอีกด้วย หากผู้ขับขี่ไม่เข้าใจความหมายที่ถูกต้อง และไม่ปฏิบัติตามความหมายที่ถูกต้องของสัญญาณไฟ ก็อาจจะนำพามาซึ่งความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นและตนเองได้ เช่น ทำให้การจราจรติดขัด หรือ ทำให้เกิดอุบัติเหตุ เป็นต้น เรามาเข้าใจและมาดูเรื่องราวเบื้องต้นกันดีกว่าว่า แท้ที่จริงแล้วสัญญาณไฟจราจรเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ตั้งแต่เมื่อไร
ต้นกำเนิด สัญญาณไฟจราจร
ต้นกำเนิด สัญญาณไฟจราจรอันแรกของโลก อยู่ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 1868 เกิดขึ้นก่อนที่คนเราจะรู้จักกับรถที่ใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเสียอีก โดยมี เจ.พี. ไนต์ วิศวกรชาวอังกฤษ?เป็นเจ้าของผลงาน?สร้างไฟสัญญาณจราจรขึ้นมา ก็เพื่อใช้ควบคุมการสัญจร ของรถม้า และคนเดินเท้าที่เดินผ่านไปผ่านมาบริเวณสี่แยก ที่เริ่มจะพลุกพล่านมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคนั้น?โดยสถานที่ที่ได้รับเกียรติให้ทำการติดตั้งผลงานชิ้นแรกของไนต์ก็คือ สี่แยกใจกลางมหานครลอนดอนบริเวณหน้ารัฐสภาอังกฤษ นั่นเอง
รูปลักษณ์สัญญาณไฟจราจร อันแรกของโลก
เมื่อใดที่แขนทั้ง 2 ข้างของมันเคลื่อนตัวขนานกับพื้นดิน หมายความว่า พาหนะที่กำลังสัญจรอยู่บริเวณสี่แยกจะต้องหยุดทันทีหากแขนทั้ง 2 ข้างของ สัญญาณจราจรเคลื่อนตัวทำมุม 45 องศา จะหมายความว่า ให้ผู้ใช้พาหนะทุกชนิดใช้ถนนอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยในตอนกลางคืนจะมีไฟสีแดงและสีเขียว ซึ่งได้จากพลังงานแก๊สบนแขนทั้ง 2 ข้างเป็นตัวให้สัญญาณเพื่อให้มองเห็นเด่นชัด โดยแสงสีแดงหมายถึง ‘หยุด’ ส่วนแสงสีเขียวหมายถึง ‘ให้ระวัง’ ปี 1920วิลเลียม พอตต์ ตำรวจจราจรแห่งดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน ได้ออกแบบ ไฟสัญญาณจราจรรูปแบบใหม่ขึ้น พร้อมกับเพิ่มไฟสีอำพัน (สีเหลือง) เข้าไปอีกหนึ่งสี เพื่อเป็นสัญญาณเตือนผู้ใช้พาหนะให้ระวัง และชะลอตัวก่อนที่จะหยุด หรือ ออกตัว
ต่อมาวิวัฒนาการของ ไฟสัญญาณจราจร ก็ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ สำหรับไฟเขียว-ไฟแดง แบบใช้พลังงานไฟฟ้าเริ่มมีใช้เป็นครั้งแรกในเมือง ซอลต์เลกซิตี รัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐ ?ช่วงปี 1912 โดย เลสเตอร์ ไวร์ พนักงานตำรวจชาวอเมริกันเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นด้วยมือของเขาเอง?จาก นั้นอีกไม่กี่ปีต่อมา ไฟสัญญาณจราจรแบบอัตโนมัติ ก็ถูกประดิษฐ์ขึ้น โดยเป็นฝีมือของ การ์แรตต์ มอร์แกน ซึ่งนำมาใช้ครั้งแรกในเมืองเคลฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ก่อนที่จะแพร่หลายไปทั่วโลก
โดยสัญญาณไฟจราจร ในบางแห่งจะทำงานโดยใช้สวิทซ์หรือแม่เหล็กที่อยู่บนพื้นถนน เรียกอุปกรณ์ตัวนี้ว่า Director วิธีการทำงานก็คือ หากรถบนท้องถนนมีจำนวนมากไฟจราจรจะเป็นสีเขียวเพื่อระบายรถออกไป แต่หากมีรถยังไม่มากพอก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดง สัญญาณไฟจราจรถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากในการบรรเทาการจราจรที่ติดขัดบนท้องถนนที่มีรถมากๆ และที่สำคัญยังสามารถช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้เป็นอย่างดี สำหรับความหมายของไฟจราจรนั้นมีดังนี้
- สีเขียว หมายถึง ไปได้ Let’s go !!
- สีเหลือง หมายถึง ระวัง (ตรงนี้ต้องเริ่มทำการหยุดแล้ว) (หรอ !! เห็นเหยียบมิดคันเร่งเลย)
- สีแดง หมายถึง หยุดนิ่ง?
สัญญาณไฟจราจรกำเนิดเกิดขึ้นแห่งแรกที่ประเทศอังกฤษ ในปี 1868 เกิดขึ้นก่อนที่ผู้คนจะรู้จักกับรถที่ใช้กับเครื่องยนต์เสียอีก โดยผลงานเป็นของนักวิศวกรชาวอักฤษ นามว่า เจ.พี ไนต์ จุดประสงค์ของ ไนต์ คือการควบคุมการสัญจรของรถม้า และ ผู้คนเดินไปมาตามสีแยก ไฟจราจรจะดูแปลกตาหากเทียบกับปัจจุบัน
ต่อมาสัญญาณไฟจราจรได้มีการพัฒนาเรื่อยๆมากระทั่ง ไฟเขียว-ไฟแดง แบบใช้พลังงานไฟฟ้าแห่งแรกเกิดขึ้นที่เมือง ซอลต์เลก ซิตี้ รัฐยูท่าห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงปี คศ.1912 โดยพนักงานตำรวจ นามว่า เลสเตอร์ ไวร์ เป็นผู้ผลิตขึ้น
ในช่วงแรกจะมีแค่ ไฟเขียว-ไฟแดงเท่านั้น จนในปี คศ. 1920 วิลเลี่ยม พอตต์ นายตำรวจเมือง ดีทรอยต์ ได้ออกแบบสัญญาไฟอีกสีหนึ่งขึ้นมา คือสีเหลืองเพื่อเป็นสัญญาณเตือนให้ผู้ขับขี่ระวังและชะลอตัวก่อนหยุด หรือ ออกตัว นั่นเอง และอีกไม่กี่ปี สัญญาณไฟจราจรแบบอัตโนมัติก็ถูกผลิตขึ้นโดย การ์แรตต์ มอร์แกน ซึ่งนำมาใช้เป็นครั้งแรกในเมืองเคลฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ก่อนที่จะแพร่หลายทั่วโลกและใช้กันอยู่ในปัจจุบัน