อุบัติเหตุจราจร นั้นเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาถ้าผู้ขับขี่ ผู้เดินถนนหรือประชาชนทั่วไป ประมาท,ขาดความรู้ในเรื่องรถ,เรื่องทาง,เรื่องวิธีการขับรถ,การข้ามถนน,การโดยสารที่ปลอดภัย, มารยาทในการขับขี่ และมีความรู้เกี่ยวกับกฎจราจร แต่ไม่ปฏิบัติหรือฝ่าฝืนกฎจราจร เช่น ขับรถด้วยความประมาท ขาดความระมัดระวัง, ขับรถในขณะร่างกายหย่อนสมรรถภาพ,ขับรถขณะมึนเมาสุรา, กินยาแก้ง่วงขณะขับรถ, กินยาแก้อาการแพ้, ยาแก้ไข้หวัด ซึ่งทำให้ง่วงนอนแล้วทำการขับรถ เราสามารถป้องกันได้ โดยการแก้ไขจากสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุนั้นๆขึ้น อาทิเช่น
อุบัติเหตุจราจร และการป้องกัน รวมถึงการใช้เดินหรือข้ามถนน ให้ปลอดภัย

  1.  เมื่อเบรกแตก ต้องตั้งสติอย่าตกใจ ใช้เกียร์ต่ำในทันทีหากจวนตัวมากอาจเปลี่ยนจากเกียร์ 4 มาเกียร์ 2 เลยก็ได้ ดึงเบรกมือช่วยพร้อมกับประคองพวงมาลัยรถให้หลบหลีกรถอื่นๆ ในกรณีคับขันได้
  2. ยางแตกหรือระเบิด เพราะถูกตะปูหรือรั่วด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง ต้องรีบเบารถทันทีโดยเปลี่ยนเกียร์ลดลงเรื่อยๆ ชะลอเครื่องให้ช้าลง ในขณะที่รถยังมีความเร็วสูงอยู่อย่าเหยียบเบรกทันที ต้องรอให้รถช้าลงก่อนแล้วคอยเหยียบเบรกโดยแตะเบา ๆ แล้วแอบเข้าข้างทางเพื่อรอเปลี่ยนยางต่อไป ส่วนในกรณีที่ยางระเบิด จะต้องคุมสติให้อยู่อย่าเหยียบเบรกทันทีเพราะรถอาจคว่ำได้พยายามบังคับพวงมาลัยอย่าให้รถเฉออกนอกแนวดิ่ง แล้วรีบปล่อยคันเร่งพร้อมกับเปลี่ยนเกียร์ให้ต่ำลดลงเรื่อยๆ แล้วค่อยๆ เหยียบเบรกลงและแอบข้างทางเพื่อเปลี่ยนยางต่อไป
  3.  ฝนตกหรือถนนลื่นควรชะลอความเร็วลงกว่าปกติและทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าให้มากขึ้น เมื่อจะต้องหยุดรถพยายามใช้เกียร์ต่ำชะลอรถลง อย่าเบรกหรือหักพวงมาลัยรถกะทันหัน เพราะอาจทำให้รถปัดหรือหมุนได้ เมื่อขับรถผ่านถนนที่มีน้ำท่วมหรือน้ำขัง ควรขับอย่างช้าๆ ด้วยเกียร์ต่ำ เมื่อผ่านมาแล้วควรลองเหยียบเบรกหลายๆ ครั้งเพื่อไล่น้ำที่อาจขังอยู่ให้ใช้การได้ตามปกติ
  4.  การขับรถขึ้นลงเขา, ขึ้นลงเนินสูง และการขับรถขึ้นลงสะพาน จะต้องลดเกียร์ให้ต่ำจะฉุดตัวรถไม่ขึ้นและเครื่องยนต์จะดับรถก็ไหลจากเขา ถ้าเครื่องดับและรถหยุด ต้องเหยียบเบรกและดึงเบรกมือช่วยถ้าเป็น รถหนักหรือรถบรรทุกต้องใช้ไม้หนาๆ หนุนล้อทั้ง 4 ล้อไว้เพื่อป้องกันรถไหลลง และที่สำคัญที่สุดห้ามแซง ขณะขับรถขึ้นเขา ขึ้นเนิน หรือสะพานสูง ๆ และขับรถลงเขา หรือลงเนินและสะพานสูง เพราะมองไม่เห็นรถที่สวนมา
  5. เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือรถเสีย ให้นำรถจอดแอบเข้าข้างทาง หรือในที่ที่มีแสงสว่างที่จะให้รถผ่านไปมาเห็นได้ชัดเจน และจะต้องเปิด สัญญาณไฟฉุกเฉิน หรือไฟเหลืองกระพริบเตือนให้รถอื่นเห็น หากไฟฉุกเฉินเสียให้ใช้ไฟฉายแทน หรือถ้าจำเป็นให้ใช้กิ่งไม้กองไว้ห่างจากด้านหน้าและด้านหลังรถ เพื่อเตือนให้รถที่วิ่งผ่านไปมาได้เห็น

อุบัติเหตุจราจร ปลอดภัย จากการ เดินบนถนน การข้ามถนน การขึ้นลงรถประจำทาง ได้อย่างไร

1. การเดินถนน ถนนที่มีทางเท้าจัดไว้ให้เดินบนทางเท้าและอย่าเดินใกล้ทางรถ โดยหันหลังให้รถที่กำลังแล่นมาก่อนที่จะก้าวไปในทางรถต้องมองซ้าย-ขวา ก่อนเสมอ ส่วนถนนที่ไม่มีทางเท้า ให้เดินชิดริมทางขวาของถนน อย่าเดินคู่กันให้เดินเรียงเดี่ยวตามกันไป แต่ถ้าจูงเด็กมาด้วยควรให้เด็กเดินด้านในและจับมือเด็กไว้ให้แน่นเพื่อป้องกันเด็กวิ่งออกไปในถนน
2. การข้ามถนน ก่อนข้ามถนนทุกครั้งต้องหยุดยืนที่ขอบถนนก่อน หรือให้หาพื้นที่ที่มีอุปกรณ์จราจร อย่าเช่น ไฟสัญญานคนข้าม สะพานลอย  แล้วมองซ้ายมองขวาให้แน่ใจว่าไม่มีรถแล่นมาจึงข้ามได้ถ้าบริเวณที่จะข้ามถนนมีช่องข้ามทางม้าลายก็ต้องข้ามตรงช่องทางม้าลายจะปลอดภัยสุด อย่าข้ามถนนโดยออกจากที่กำบังตัว เช่น ออกจากซอยรถที่จอดอยู่ หรือท้ายรถประจำทาง เพราะจะเกิดอันตรายขึ้นได้ ส่วนการข้ามถนนที่รถเดินทางเดียว ต้องหยุดให้แน่ใจก่อนว่ารถแล่นมาจากไหนและมีความปลอดภัยพอหรือยังจึงข้ามได้
3. ช่องข้ามทางหรือทางม้าลาย คนเดินเท้าที่กำลังเดินข้ามถนนในทางม้าลายมีสิทธิไปก่อนรถ เพราะตามกฎหมายต้องหยุดให้คนข้ามถนนในทางข้ามทางม้าลายไปก่อน แต่จะต้องระวังให้โอกาสแก่รถที่ชะลอความเร็วและหยุดไม่ทันก่อนที่จะก้าวลงไป ในถนนยิ่งเวลาฝนตกถนนลื่นต้องระวังให้มาก ถึงแม้ว่าคนขับรถจะหยุดให้ข้ามก็ควรข้ามด้วยความระมัดระวัง มองขวา – ซ้ายตลอดเวลา เพราะอาจมีผู้ขับขี่ขับแซงรถที่หยุดรถอยู่ขึ้นมาได้ และถ้ามีเกาะกลางถนนทำไว้ที่ทางม้าลาย ให้ข้ามถนนไปทีละครึ่งถนน โดยพักรออยู่บนเกาะ มองขวา-ซ้ายปลอดภัยแล้วจึงข้ามไป

4. การขึ้นลงรถประจำทาง อย่าขึ้นหรือลงรถประจำทางจนกว่ารถจะหยุดสนิทที่ป้ายหยุดรถประจำทางนั้นๆ เมื่อลงจากรถประจำทางแล้วจะข้ามถนนก็ควรรอให้รถออกไปให้พ้นก่อนจะได้มองเห็นรถคันอื่นๆ ที่แล่นเข้ามา ได้อย่างชัดเจนขึ้นแล้วค่อยข้าม